- รับลิงก์
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
เขียนโดย
Komkrit Aree
ใน
- รับลิงก์
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
“Bad artists copy, Great artists steal”
นี่คือคำกล่าวของศิลปินเอกของโลก นามว่า “พาโบล ปิกัสโซ่” และเป็นที่มาของวาทะกรรมที่ยิ่งใหญ่ระหว่าง “สตีฟ จอบส์” และ “บิล เกตส์” ที่อ้างคำพูดของปิกัสโซ่ด้วยเช่นกัน
ทำไมทั้งสองคนถึงคิดเช่นนั้น?
“สตีฟ จอบส์” กล่าวว่า “เราต้องคิดว่าตัวของเราเป็นศิลปิน อย่างที่ปิกัสโซ่พูดว่า ศิลปินที่ดีลอกเลียน ศิลปินเอกขโมย” เขาเอ่ยประโยคนี้กับทีมพัฒนาคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่อย่าง “Lisa” ก่อนที่จะเข้าไปที่ “Palo Alto Research Center” ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยนวัตกรรมของบริษัท XEROX ที่ได้คิดค้นระบบติดต่อประสานสังการคอมพิวเตอร์ด้วยรูปภาพกราฟฟิค (Graphic User Interface: GUI) เข้าถึงไฟล์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย แทนที่จะเป็นเพียงแค่ตัวเลขหรือข้อความอย่างเดียว รวมถึงอุปกรณ์ควบคุมหน้าจอเพียงแค่ปลายนิ้วที่เรียกว่า “เม้าส์ (Mouse)” ซึ่งผู้บริหารของ XEROX ไม่ได้ให้ความสนใจแถมยังมองว่ามันเป็นเรื่องตลก
แต่สำหรับ “จอบส์” นี้คือ “นวัตกรรมแห่งอนาคต” เขาเป็นศิลปินเอกโดยการเข้าไปขอข้อมูลกับฝ่ายวิจัย XEROX ที่ผู้บริหารไม่เห็นคุณค่าแล้วนำมาดัดแปลงพัฒนาต่อยอดกับเครื่องคอมพิวเตอร์ “Lisa” จนกลายเป็นเครื่องต้นแบบและกลายมาเป็นเครื่อง “Macintosh” หรือ “Mac” ในเวลาต่อมา
ในขณะที่ “บิล เกตส์” ได้เห็นการทำงานของระบบควบคุม Graphic User Interface บนเครื่องคอมพิวเตอร์ “Lisa” จึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาต้องการระบบควบคุม Graphic User Interface มาครอบครองจึงตัดสินใจทำตัวเป็นศิลปินเอกอีกคนหนึ่ง โดยการเข้าไปหา “สตีฟ จอบส์” ซึ่งในขณะนั้นกำลังซุ่มสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่อย่าง “Macintosh” เนื่องจากคอมพิวเตอร์ “Lisa” ไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคเพราะราคาสูงเกินไป โดย “บิล เกตส์” อ้างว่ามีในสิ่งที่ “จอบส์” ไม่มีนั่น ซึ่งทาง IBM ก็สนใจเช่นเดียวกัน แต่เขาอยากร่วมงานกับทาง Apple มากกว่า “จอบส์” หลงเชื่อคำพูดจนในที่สุด “เกตส์” ก็ได้งานนี้ไปพร้อมกับเครื่องต้นแบบให้ไปพัฒนาจนเป็น “Microsoft Windows” ในที่สุด
เรื่องราวของอัจฉริยะทั้งสองในโลกของธุรกิจมันคือการชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน ใครไวกว่าย่อมได้เปรียบ “บิล เกตส์” เคยกล่าวว่า “จงใกล้ชิดเพื่อนไว้ แต่ใกล้ชิดศัตรูให้มากกว่า” เป็นคำพูดที่ได้พูดก่อนไปนำเสนอขายระบบควบคุม DOS ให้กับทาง IBM ทั้งที่ยังไม่มีอยู่จริง
ในช่วงที่ผมเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ๆ ต้องยอมรับว่าลำพังแค่ความรู้กับความสามารถอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ จะต้องมีสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้วย ทั้งนี้ในการค้นหาความต้องการของลูกค้านั้นเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร ซึ่งในมหาสมุทรมีปลาให้เลือกจับมากมาย บรรดาเรือประมงขนาดใหญ่มักได้เปรียบเพราะด้วยขนาดและกำลังคนรวมถึงมีเครื่องมือทันสมัยมากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามในน่านน้ำสีฟ้านี้ยังมีปลาอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งบรรดาเรือเล็กเรือน้อยต่างก็พากันทยอยออกจากฝั่งก็พลอยเพื่อที่จะได้รับอานิสงค์ในครั้งนี้ไปด้วย
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถต่อกรกับผู้เล่นที่มีขนาดใหญ่กว่า เพราะถ้าเกิดเข้าไปปะทะกันตรงๆ อาจจะเสียเปรียบได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของคนตัวเล็กก็คือ "ความว่องไวและปราดเปรียว" ที่คนตัวใหญ่นั้นไม่มี
“ชนาธิป สรงกระสินธ์” หรือ “เมสซี่ เจ” นักฟุตบอลทีมชาติไทยที่พาทีมคว้าแชมป์มาให้คนไทยมีความสุขเป็นหนึ่งมายไอดอลซึ่งผมชื่นชมในความสามารถและพยายาม
“เจ” เป็นคนตัวเล็กสูงไม่ถึง 160 ซม. ในอดีตโดนดูถูกเหยียดหยามสารพัดว่าเขาไม่สามารถจะเป็นนักฟุตบอลได้เนื่องจากตัวเล็กเกินไป
แม้ว่าเขาจะสู้แรงปะทะกับผู้เล่นที่ตัวใหญ่ไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นทุมเทฝึกฝนอย่างหนักอยู่เป็นประจำ ต้องซ้อมหนักกว่าคนปกติถึง 2 เท่า เขาใช้ความคล่องแคล่วว่องไวและทักษะทางบอลที่ดีทดแทนการปะทะกันแบบซึ่งหน้าทำให้กลายมาเป็นขวัญใจมหาชนที่ทุกคนต่างยอมรับในฝีมือและความสามารถของเขาอย่างแท้จริง
ในโลกธุรกิจการชิงความได้เปรียบในเรื่องของ "ความเร็ว" นั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "Economy of Speed" หรือ “ทำให้เร็วแล้วจะประหยัด” เป็นสิ่งที่ธุรกิจขนาดเล็กควรเลือกใช้เป็นกลยุทธ์หลักเพราะด้วยขนาดและความคล่องตัวในการทำงานมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสายการควบคุมที่ค่อนข้างซับซ้อนและไม่ยืดหยุ่น
และนี่คือกลยุทธ์หนึ่งที่ผมเลือกใช้ในการทำงาน เพราะเมื่อเราสามารถทำได้เร็วกว่าคู่แข่งย่อมมีโอกาสที่ลูกค้าจะไว้วางใจให้ทำงานครั้งต่อๆ ไปได้
นอกจากเรื่องความเร็วในการส่งมอบสินค้าและบริการให้กับลูกค้าแล้ว ก็ต้องมีสินค้าที่ตอบสนองกับตลาดและดีกว่าเดิม เคยมีคนถามว่าอยากทำธุรกิจแต่ไม่รู้จะขายอะไรดี คำถามนี้ตอบง่ายมากครับ อย่างแรกเลยต้องเลือกทำในสิ่งที่ตนเองชอบและถนัด และอย่างที่สองคือหาต้นแบบสินค้าหรือบริการที่ดีที่สุด แล้ว “เลียนแบบ” ให้ดีกว่าเดิม
ทำไมผมถึงพูดเช่น? เหตุผลก็เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ธุรกิจเริ่มต้นหรือกิจการขนาดเล็กจะสามารถไปวิจัยตลาดเพื่อค้นหาว่าสินค้าหรือบริการไหนเหมาะกับคนกลุ่มไหนแบบใดเพื่อที่นำข้อมูลเหล่านี้ไปพัฒนาสินค้าหรือบริการให้เหมาะสมต่อไป
ผมใช้แนวคิดของการเป็น “ศิลปินเอก ต้องขโมย” เช่นเดียวกับ “สตีฟ จอบส์” และ “บิล เกตส์” แต่คำว่า “ขโมย” ในที่นี้ไม่ใช่การไปขโมยงานของใครแล้วเอาไปขาย แต่เป็นการขโมย “ความคิด” หรือ “ไอเดีย” ในสินค้าและบริการที่มีดีอยู่แล้ว โดยการเปรียบเทียบดูว่าธุรกิจไหนที่ขายสินค้าและมีบริการเหมือนเรา จากนั้นก็เลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุดนั้นมาทำให้ได้เหมือนกับเขา การเป็น “ศิลปินเอก” ไม่เหมือนกับ “ศิลปินทั่วไป” ที่ทำได้เพียงแค่ลอกเลียนแบบสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้มีความสามารถสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา ลอกมาอย่างไหนก็ได้อย่างนั้น ไม่มีการต่อยอดหรือพัฒนาถ้าเป็นแบบนี้ทำไปก็มีแต่เจ๊งเพราะแค่เขาหั่นลดราคาเราก็สู้ไม่ได้แล้ว
คิดอย่าง “ศิลปินเอก” ที่แม้ว่าจะลอกเลียนแบบมาอย่างไร ก็ยังใส่ “ความเป็นตัวตน” ลงไปในงานนั้นได้และต่อยอดพัฒนาให้ดีกว่าเดิม นั่นแสดงว่านอกจากจะ “เลียนแบบ” ให้เหมือนหรือใกล้เคียงแล้วที่สำคัญคือ ต้องสร้างความแตกต่างที่คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก คล้ายกับการทำอาหารที่สุดท้ายแล้วทำออกมาเหมือนกันแต่รสชาติไม่เหมือนกัน แสดงว่าต้องมี “สูตรลับความอร่อย” ที่แตกต่างกันนั่นเอง
“จงฝันให้ใหญ่ มีเพียงความฝันที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ที่มีพลังขับเคลื่อนจิตวิญญาณของมนุษย์” -- มาร์คัส ออเรลิอัส
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น